VMware Cloud Foundation (VCF)

VMware Cloud Foundation (VCF)

[Guest Post] เจาะลึก 6 จุดเด่นของ VMware Cloud Foundation (VCF) ที่ทรานส์ฟอร์มธุรกิจคุณได้

ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของไอทีรวดเร็วและต่อเนื่องอย่างมากในยุคดิจิทัล เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ จนกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกองค์กรให้ความสำคัญ เช่น การนำ Software Defined Data Center (SDDC) มาใช้ทำให้สามารถส่งมอบโซลูชันที่ทำงานแบบอัตโนมัติ สามารถลดหรือขยายทรัพยากรได้ตามความต้องการ

VMware ผู้นำด้านระบบ Virtualization ระดับโลกได้รวมผลิตภัณฑ์ SDDC ทั้งหมดไว้ในผลิตภัณฑ์เดียวโดยใช้ชื่อว่า “VMware Cloud Foundation (VCF)” ซึ่งประกอบไปด้วย vSphere ซึ่งให้บริการ Compute, vSAN ให้บริการ Software Define Storage และ NSX-T Data Center ให้บริการ Software Define Network, vRealize Suite หัวใจของการทำ Automation และ Operation อีกทั้ง SDDC Manager ที่ช่วยให้การทำเรื่อง Day-2 operation อย่าง Patch หรือ Upgrade ให้เป็นเรื่องง่ายขึ้น

VMware Cloud Foundation หรือ VCF แพลตฟอร์มไฮบริดคลาวด์หนึ่งเดียวที่จัดการเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือนและคอนเทนเนอร์ให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น โดย VCF สร้างขึ้นบนเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวอร์จแบบฟูลสแตก (Full-Stack Hyper-Converged Infrastructure – HCI) ที่ใช้ในระบบ Cloud Computing ชั้นนำทั่วโลก นำเสนอสถาปัตยกรรมที่ใช้ได้ง่าย พร้อมทั้งปรับโครงสร้างพื้นฐานการดำเนินงานให้มีความสอดคล้องปลอดภัยทั่วทั้งคลาวด์ส่วนตัว (Private Cloud) ,คลาวด์สาธารณะ (Public Cloud) หรือการใช้งานคลาวด์แบบผสมผสาน (Hybrid Multi Cloud) เพิ่มความคล่องตัวและความยืดหยุ่นให้กับองค์กร ตอบโจทย์ TCO/ROI สำหรับการเลือกใช้งานว่าจะนำ Workload งานนั้นไปใช้ที่ Public Cloud หรือ Private Cloud ก็ได้ ซึ่ง VCF มีคุณสมบัติหลักดังนี้

  • รองรับการใช้งานที่ยืดหยุ่น: มีความหลากหลายในการติดตั้งและใช้งานไม่ว่าแอปพลิเคชั่นนั้น จะอยู่บน Public Cloud, Private Cloud หรือ Hybrid Multi Cloud
  • เพิ่มประสิทธิภาพของแอปพลิเคชั่น: ปรับปรุงประสิทธิภาพและความมั่นคงของแอปพลิเคชั่นด้วย High-Performance Storage รองรับ Critical Workload ที่มีความต้องการ Performance สูง และใช้ NSX Advanced Load Balancer ช่วยกระจายงานให้สมดุลในทุกๆ เครื่อง หรือทำ Global Load Balance ระหว่าง Cloud ก็สามารถทำได้
  • สถาปัตยกรรมที่ได้มาตรฐาน: เปลี่ยนวิธีการทำงานจากรูปแบบเดิม ลดความซับซ้อนในการปฏิบัติงาน  ลดความยุ่งยาก และช่วยลด TCO ให้ Data Center สามารถทำงานแบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการการประมวลผล (Compute) การจัดเก็บข้อมูล (Storage) และระบบเครือข่าย  (Network) สร้างมาตรฐานการใช้งานแบบเดียวกันไม่ว่าจะใช้งานที่ Public Cloud และ Private Cloud ช่วยให้การทำงานแบบ Hybrid Multi Cloud เกิดขึ้นได้จริง
  • ขยายระบบไอทีได้อย่างมีประสิทธิภาพ: ดูแลและจัดการระบบผ่านการใช้งานเพียงแพลตฟอร์มเดียว ไม่ว่าระบบนั้นจะอยู่ที่ Public Cloud, Private Cloud หรือการใช้งานแบบ Hybrid Multi Cloud (Single Management Anywhere)
  • มีความปลอดภัยสูง: รับประกันความปลอดภัยขององค์กรด้วยเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวอร์จแบบฟูลสแตกที่รองรับการใช้งานใน Virtual Machine และ Container สามารถนโยบายจากศูนย์กลางและนำไปใช้ที่ Public หรือ Private Cloud ก็ได้ พร้อมทั้งยังสามารถเพิ่มเติมความปลอดภัยได้ด้วย VMware Security Solution ไม่ว่าจะเป็น Workload Protection by Carbon Black หรือตรวจสอบ Network Traffic แบบลงลึกเพื่อป้องการ Virus, Malware หรือ Hacker โดย VMware IDS/IPS ได้

สำหรับองค์กรที่กำลังมองหาแพลตฟอร์มไฮบริดคลาวด์ ที่ช่วยเรื่องความยืดหยุ่นในการจัดการ รองรับการใข้งานในทุกรูปแบบ เพิ่มประสิทธิภาพความมั่นคงความสมดุลของแอปพลิเคชั่นและการขยายระบบไอที อีกทั้งต้องการลดความซับซ้อนในการปฏิบัติงาน ที่มาพร้อมความปลอดภัยระดับสูง “VMware Cloud Foundation หรือ VCF” ตอบโจทย์ธุรกิจคุณได้

หากท่านสนใจหรือต้องการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติม สามารถติดต่อที่: duangduan.c@dcs.premier.co.th หรือ โทร 02-684-8484

admin

Comments are closed.